เข้าสู่ระบบ(Log in)
Latest topics
Top posters
Tsuna | ||||
KiSsThERim | ||||
|2omantic | ||||
jeffy013 | ||||
alone | ||||
Master | ||||
ManChii | ||||
marushi | ||||
e13e1lPheGoRe | ||||
bossboss06 |
มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามเวลาได้
4 posters
หน้า 1 จาก 1
มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามเวลาได้
มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามเวลาได้ จริงหรือไม่?
ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้นั้น ยืนพื้นอยู่บนความเห็นที่ว่ามนุษย์และวัตถุทั้งหลายในจักรวาลต่างเป็นก้อนเอกเทศอะไรก้อนหนึ่ง เช่นหากมีแรงผลักดันหินสักก้อนให้วิ่งเร็วเหนือแสง หินก้อนนั้นจะย้อนเวลากลับไปหาอดีต หรือถ้านำหินก้อนนั้นใส่รูหนอนในหลุมดำ ก็มีสิทธิ์เดินทางข้ามเวลา หรือไม่ก็หายตัวไปปรากฏ ณ ตำแหน่งอื่นของจักรวาลอันไกลจากตำแหน่งเดิมหลายร้อยหรือหลายพันปีแสง
มีการสมมุติกันว่าถ้าวันหนึ่งคนเราเดินทางข้ามเวลาได้ล่ะก็ ‘ความจริง’ คงปั่นป่วนน่าดูชม เช่นคุณสามารถพบตัวเองในอดีตและอนาคต ซึ่งก็หมายความว่าคุณอาจฆ่าตัวเองในตอนเด็ก แล้วตัวคุณตอนโตก็หายแว้บไปในบัดดลนั้นเอง แต่ถ้าไม่อยากเชื่อว่าฆ่าตัวเองตอนเด็กแล้วจะหายไป ก็ต้องตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่าอาจมีจักรวาลคู่ขนานขึ้นมารองรับ ‘ความจริง’ หลังตัวคุณในตอนเด็กตายดับไปด้วยน้ำมือคุณเองในตอนโต
น่าปวดหัวดีแท้ใช่ไหมครับ? ธรรมชาติช่างเตรียมสารพัดเรื่องให้มนุษย์ใช้ความฉลาดไปงมหาข้อเท็จจริงของสิ่งที่ไม่มีจริง เช่นถ้าการเดินทางย้อนเวลาเป็นไปได้ ก่อนอื่นเราต้องมีทฤษฎีน่าเชื่อถือมาตอบให้ถูก ว่ามวลสารส่วนหนึ่งของจักรวาลในวันนี้ หายไปเพิ่มเป็นมวลสารส่วนเกินของจักรวาลในปีก่อนได้อย่างไร
พุทธศาสนามีคำตอบที่ชัดเจนและไม่ชวนให้ฟุ้งซ่านมากขนาดนั้น โดยกล่าวว่าธรรมชาติย่อมมีกฎของตนเอง เช่น
๑) กฎแห่งการแปรปรวนไปเป็นอื่น อธิบายว่ารูปกายและจิตใจไม่คงที่ ต้องแปรสภาพไปเป็นอื่นตลอดเวลา โดยเฉพาะจิตใจอันเป็นธรรมชาติรู้โลกนั้น เกิดดับตลอดวันตลอดคืน และกฎข้อนี้ก็พลอยชี้ด้วยว่าเวลาไม่มีจริง เวลาเป็นแค่สิ่งสมมุติ สิ่งที่มีจริงคือการแปรปรวนไปของวัตถุธาตุและวิญญาณธาตุเป็นขณะๆต่างหาก แม้แต่หินสักก้อนก็ถูกแปรรูปมาจากสิ่งอื่น ไม่ได้มีหินก้อนนั้นตั้งอยู่คู่ฟ้ามาแต่กัลป์ไหน แม้คุณดีดหินให้แล่นเร็วกว่าแสงแล้ว ‘หายไป’ จากกาลเวลาปัจจุบัน ก็แปลว่ามันต้องแปรตัวเป็นอะไรอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางย้อนเวลากลับไปอยู่ในที่เดียวกันกับต้นกำเนิดของหินก้อนนั้น
๒) กฎแห่งกรรมวิบาก อธิบายว่ารูปกายและจิตใจของเรานี้ เป็น ‘ผลของกรรมในอดีต’ หมายความว่ากายใจของคุณที่กำลังตั้งอยู่นี้ มิได้เป็นก้อนเอกเทศอะไรก้อนหนึ่งอย่างที่คิด ทว่ามีความสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลกับกายใจในอดีต คือกายใจในอดีตได้ก่อกรรมทำบุญบาป
เอาไว้ เหล่ากรรมรวมกันแล้วจึงซัดให้มาเกิดมีเกิดเป็นกายใจอันนี้ และเผชิญกับเหตุการณ์อย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้
ถ้าเชื่อว่าพุทธศาสนากล่าวไว้ถูกต้องทั้ง ๒ ข้อ ก็แปลว่ามนุษย์และสัตว์ไม่อาจเดินทางข้ามเวลาได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะล้ำหน้าปานไหน ต่อให้ใครเลียนแบบสร้างรูหนอนในหลุมดำขึ้นมาได้ในโลก หรือแม้มีการค้นพบอนุภาคเตคีออนที่เดินทางเร็วกว่าแสงได้โดยไม่ขัดกับทฤษฎีสัมพัทธภาพก็ตาม
ฟันธงได้เช่นนั้นก็เพราะการย้อนกลับไปในอดีตสักพันปีที่ผ่านมา มิใช่แต่จะหมายถึงการเอากายก้อนนี้กลับไปสู่วันวานที่ล่วงแล้ว แต่ยังอาจหมายถึงการนำผลกรรมกลับไปสู่ภาวะเริ่มก่อกรรมอีกด้วย เช่นถ้าพบตัวเองในอดีตชาติ ก็จะเปรียบเหมือนคุณเอาบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว ย้อนกลับไปกองรวมกับอิฐปูนในช่วงก่อนลงเสาเข็ม ซึ่งก็เกิดส่วนเกินของกันและกันทันที
การย้อนกลับสู่อดีตก็ไม่ได้แปลว่าคุณเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้วกลับมาได้เท่านั้น ทว่ายังหมายถึงการทำให้สิ่งดับสูญเป็นอื่น กลับคืนสู่สภาพเดิม หากคุณเจอตัวเองในอดีตได้ก็แปลว่าตัวเดิมของคุณยังไม่แปรปรวนไป แม้ว่าตัวคุณในปัจจุบันจะปรากฏแล้วก็ตาม สำคัญกว่านั้นคือสิ่งแวดล้อมอันเป็นปัจจัยรับผลกรรมของคุณจะพลิกคว่ำคะมำหงายไปหมด คุณจะอยู่ในที่ที่กรรมไม่มีสิทธิ์ให้ผลใดๆเลย ในเมื่อสิ่งแวดล้อมนั้นๆเป็นที่ที่คุณใช้สร้างกรรม ไม่ใช่ใช้รับผลกรรม
พูดง่ายๆให้น่าปวดหัวน้อยลง แม้แต่สตีเฟน ฮอว์กิงซึ่งได้รับความเชื่อถือเกี่ยวกับทฤษฎีเดินทางข้ามเวลามากที่สุดในปัจจุบัน ยังบอกเลยครับ ว่าถ้าการเดินทางย้อนเวลาเป็นไปได้จริง ป่านนี้มีมนุษย์อนาคตมาเพ่นพ่านให้เห็นเพียบแล้ว แต่นี่ไม่มีหลักฐานเอาเลยสักชิ้นเดียว
เรื่องของเรื่องนะครับ คือเราเคยชินกับประสบการณ์รับรู้อะไรต่ออะไรนอกตัว เห็นโต๊ะ ตู้ เตียง หรือแม้แต่เงาของเราเองในกระจก เป็นรูปร่างคงที่ จึงก่อให้เกิดสามัญสำนึกที่ผิดเพี้ยนขึ้นมา คือเข้าใจว่าเรากำลังลอยคออยู่ในท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลา กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้เราค่อยๆแก่ลง และทุกสิ่งก็ค่อยๆแปรสภาพไปตามเวลาพร้อมๆกับเราด้วย
ประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้นั้น ยืนพื้นอยู่บนความเห็นที่ว่ามนุษย์และวัตถุทั้งหลายในจักรวาลต่างเป็นก้อนเอกเทศอะไรก้อนหนึ่ง เช่นหากมีแรงผลักดันหินสักก้อนให้วิ่งเร็วเหนือแสง หินก้อนนั้นจะย้อนเวลากลับไปหาอดีต หรือถ้านำหินก้อนนั้นใส่รูหนอนในหลุมดำ ก็มีสิทธิ์เดินทางข้ามเวลา หรือไม่ก็หายตัวไปปรากฏ ณ ตำแหน่งอื่นของจักรวาลอันไกลจากตำแหน่งเดิมหลายร้อยหรือหลายพันปีแสง
มีการสมมุติกันว่าถ้าวันหนึ่งคนเราเดินทางข้ามเวลาได้ล่ะก็ ‘ความจริง’ คงปั่นป่วนน่าดูชม เช่นคุณสามารถพบตัวเองในอดีตและอนาคต ซึ่งก็หมายความว่าคุณอาจฆ่าตัวเองในตอนเด็ก แล้วตัวคุณตอนโตก็หายแว้บไปในบัดดลนั้นเอง แต่ถ้าไม่อยากเชื่อว่าฆ่าตัวเองตอนเด็กแล้วจะหายไป ก็ต้องตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่าอาจมีจักรวาลคู่ขนานขึ้นมารองรับ ‘ความจริง’ หลังตัวคุณในตอนเด็กตายดับไปด้วยน้ำมือคุณเองในตอนโต
น่าปวดหัวดีแท้ใช่ไหมครับ? ธรรมชาติช่างเตรียมสารพัดเรื่องให้มนุษย์ใช้ความฉลาดไปงมหาข้อเท็จจริงของสิ่งที่ไม่มีจริง เช่นถ้าการเดินทางย้อนเวลาเป็นไปได้ ก่อนอื่นเราต้องมีทฤษฎีน่าเชื่อถือมาตอบให้ถูก ว่ามวลสารส่วนหนึ่งของจักรวาลในวันนี้ หายไปเพิ่มเป็นมวลสารส่วนเกินของจักรวาลในปีก่อนได้อย่างไร
พุทธศาสนามีคำตอบที่ชัดเจนและไม่ชวนให้ฟุ้งซ่านมากขนาดนั้น โดยกล่าวว่าธรรมชาติย่อมมีกฎของตนเอง เช่น
๑) กฎแห่งการแปรปรวนไปเป็นอื่น อธิบายว่ารูปกายและจิตใจไม่คงที่ ต้องแปรสภาพไปเป็นอื่นตลอดเวลา โดยเฉพาะจิตใจอันเป็นธรรมชาติรู้โลกนั้น เกิดดับตลอดวันตลอดคืน และกฎข้อนี้ก็พลอยชี้ด้วยว่าเวลาไม่มีจริง เวลาเป็นแค่สิ่งสมมุติ สิ่งที่มีจริงคือการแปรปรวนไปของวัตถุธาตุและวิญญาณธาตุเป็นขณะๆต่างหาก แม้แต่หินสักก้อนก็ถูกแปรรูปมาจากสิ่งอื่น ไม่ได้มีหินก้อนนั้นตั้งอยู่คู่ฟ้ามาแต่กัลป์ไหน แม้คุณดีดหินให้แล่นเร็วกว่าแสงแล้ว ‘หายไป’ จากกาลเวลาปัจจุบัน ก็แปลว่ามันต้องแปรตัวเป็นอะไรอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางย้อนเวลากลับไปอยู่ในที่เดียวกันกับต้นกำเนิดของหินก้อนนั้น
๒) กฎแห่งกรรมวิบาก อธิบายว่ารูปกายและจิตใจของเรานี้ เป็น ‘ผลของกรรมในอดีต’ หมายความว่ากายใจของคุณที่กำลังตั้งอยู่นี้ มิได้เป็นก้อนเอกเทศอะไรก้อนหนึ่งอย่างที่คิด ทว่ามีความสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลกับกายใจในอดีต คือกายใจในอดีตได้ก่อกรรมทำบุญบาป
เอาไว้ เหล่ากรรมรวมกันแล้วจึงซัดให้มาเกิดมีเกิดเป็นกายใจอันนี้ และเผชิญกับเหตุการณ์อย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้
ถ้าเชื่อว่าพุทธศาสนากล่าวไว้ถูกต้องทั้ง ๒ ข้อ ก็แปลว่ามนุษย์และสัตว์ไม่อาจเดินทางข้ามเวลาได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะล้ำหน้าปานไหน ต่อให้ใครเลียนแบบสร้างรูหนอนในหลุมดำขึ้นมาได้ในโลก หรือแม้มีการค้นพบอนุภาคเตคีออนที่เดินทางเร็วกว่าแสงได้โดยไม่ขัดกับทฤษฎีสัมพัทธภาพก็ตาม
ฟันธงได้เช่นนั้นก็เพราะการย้อนกลับไปในอดีตสักพันปีที่ผ่านมา มิใช่แต่จะหมายถึงการเอากายก้อนนี้กลับไปสู่วันวานที่ล่วงแล้ว แต่ยังอาจหมายถึงการนำผลกรรมกลับไปสู่ภาวะเริ่มก่อกรรมอีกด้วย เช่นถ้าพบตัวเองในอดีตชาติ ก็จะเปรียบเหมือนคุณเอาบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว ย้อนกลับไปกองรวมกับอิฐปูนในช่วงก่อนลงเสาเข็ม ซึ่งก็เกิดส่วนเกินของกันและกันทันที
การย้อนกลับสู่อดีตก็ไม่ได้แปลว่าคุณเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้วกลับมาได้เท่านั้น ทว่ายังหมายถึงการทำให้สิ่งดับสูญเป็นอื่น กลับคืนสู่สภาพเดิม หากคุณเจอตัวเองในอดีตได้ก็แปลว่าตัวเดิมของคุณยังไม่แปรปรวนไป แม้ว่าตัวคุณในปัจจุบันจะปรากฏแล้วก็ตาม สำคัญกว่านั้นคือสิ่งแวดล้อมอันเป็นปัจจัยรับผลกรรมของคุณจะพลิกคว่ำคะมำหงายไปหมด คุณจะอยู่ในที่ที่กรรมไม่มีสิทธิ์ให้ผลใดๆเลย ในเมื่อสิ่งแวดล้อมนั้นๆเป็นที่ที่คุณใช้สร้างกรรม ไม่ใช่ใช้รับผลกรรม
พูดง่ายๆให้น่าปวดหัวน้อยลง แม้แต่สตีเฟน ฮอว์กิงซึ่งได้รับความเชื่อถือเกี่ยวกับทฤษฎีเดินทางข้ามเวลามากที่สุดในปัจจุบัน ยังบอกเลยครับ ว่าถ้าการเดินทางย้อนเวลาเป็นไปได้จริง ป่านนี้มีมนุษย์อนาคตมาเพ่นพ่านให้เห็นเพียบแล้ว แต่นี่ไม่มีหลักฐานเอาเลยสักชิ้นเดียว
เรื่องของเรื่องนะครับ คือเราเคยชินกับประสบการณ์รับรู้อะไรต่ออะไรนอกตัว เห็นโต๊ะ ตู้ เตียง หรือแม้แต่เงาของเราเองในกระจก เป็นรูปร่างคงที่ จึงก่อให้เกิดสามัญสำนึกที่ผิดเพี้ยนขึ้นมา คือเข้าใจว่าเรากำลังลอยคออยู่ในท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลา กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้เราค่อยๆแก่ลง และทุกสิ่งก็ค่อยๆแปรสภาพไปตามเวลาพร้อมๆกับเราด้วย
Re: มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามเวลาได้
ต่อน้า....
แต่หากเปลี่ยนมุมมองย้อนกลับเข้ามา ‘ระลึกรู้’ ถึงสภาพอันเป็นภายในตัวเอง กระทั่งเกิดมโนสำนึกแบบใหม่ที่แจ่มชัด โลกจะเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ หรือกลับหัวมาเป็นก้อยทันที กล่าวคือคุณจะรู้สึกชัดถึงภาวะทางกายที่ตั้งอยู่ในอิริยาบถปัจจุบันนี่แหละ และขณะเดียวกันก็ทราบว่ามีความเปลี่ยนแปลงภายในกายนี้ตลอดเวลา เช่นมีสายลมหายใจผ่านเข้า
ผ่านออก หยุดสงบครู่หนึ่ง แล้วผ่านเข้ามาอีก ผ่านออกไปอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นสายยาวบ้าง เป็นสายสั้นบ้าง
การเคลื่อนไหวทุกกระดิก ไม่ว่าจะเป็นเหลือบตา หันซ้ายหันขวา ขยับแขน ยกมือเกาหัว เปลี่ยนท่าให้สบายขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องแสดงความเปลี่ยนแปลงเป็นชุดๆ เป็นขณะๆอย่างสืบเนื่องไปจนกว่าคุณจะตาย
ความรับรู้เกี่ยวกับวัตถุนอกกายของคุณจะพลอยแตกต่างไปด้วย แม้คุณนั่งอยู่คนเดียวในห้องว่างที่ทุกด้านเป็นผนังเปล่า ผนังเหล่านั้นก็จะเป็น ‘ฉากประกอบ’ ที่มีความสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงในกายคุณ แม้ประสาทตาของคุณจะมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆของผนังห้อง แต่ใจคุณจะรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ผนังเดียวกันกับเมื่อครู่ ผนังห้องที่อยู่กับห้วงลมหายใจก่อนผ่านไปแล้ว สิ่งที่เหลือคือผนังห้องที่อยู่กับห้วงลมหายใจปัจจุบันเท่านั้น
เมื่อรับรู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวมีอันเป็นไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของคุณ คุณจะเริ่มสำเหนียกเพิ่มอีกชั้น ว่า ‘การรับรู้’ อย่างชัดเจนของคุณนั่นเอง คือสภาพธรรมชาติอันแตกต่างเป็นคนละส่วนกับร่างกายและสิ่งแวดล้อม ภาวะการรับรู้นั่นเองคือจิต แม้จิตก็เกิดขึ้นเป็นขณะๆตามอาการจ้องมอง ตามอาการเงี่ยหูฟัง และตามอาการครุ่นคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่ออาการมอง อาการฟัง และอาการคิดอ่านหนึ่งๆจบลงแล้ว จิตย่อมแปรเป็นสภาพรับรู้อย่างอื่นไปเรื่อยๆ ทว่าสืบเนื่องอย่างไม่ขาดสายเสียจนเหมือนเป็นจิตเดิมดวงเดียวกัน
เมื่อเฝ้าตามรู้ตามดูธรรมชาติอันปรากฏแสดงในขอบเขตกายใจไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่าต้นเหตุอย่างหนึ่งๆย่อมคลี่คลายไปสู่ผลลัพธ์อย่างหนึ่งๆ ไม่อาจเป็นไปได้ที่ผลจะเกิดขึ้นพร้อมกับเหตุ และยิ่งไม่อาจเป็นไปได้ที่ผลใดๆจะปรากฏก่อนการสลายตัวของเหตุ
ยกตัวอย่างเช่นไม่มีทางเป็นไปได้ที่คุณจะหายใจออกก่อนที่จะหายใจเข้า เหตุปัจจัยของการหายใจออกคือมีลมหายใจเข้า และร่างกายต้องการระบายลมนั้นออกจากอก ธรรมชาติมีลำดับ มีขั้นตอน มีเหตุผล มีต้นมีปลาย และธรรมชาติก็แสดงตัวอย่างเปิดเผยตลอดมา คุณแค่ไม่มีสติสัมปชัญญะรู้เห็นเท่านั้น
และในที่สุดเมื่อจิตคุณประจักษ์ความจริง ว่าไม่มีสิ่งใดไม่ดับสูญ ทุกสิ่งปรากฏแล้วล้วนแปรรูป เสื่อมสลายกลายเป็นอื่นเสมอ ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้เกาะเกี่ยวถือมั่น คุณจะมองทะลุความแปรปรวนไปเห็นความว่างอันเป็นต่างหากนิมิตทั้งหลายในโลก ความว่างนั้นมีอยู่ มิใช่ความสูญสิ้น เปรียบได้กับจอภาพยนตร์ที่รองรับแสงสีที่สาดมาจากเครื่องฉาย สายตาเราถูกล่อให้เล็งดูส่ำ
สีเคลื่อนไหวบนจอภาพยนตร์ จนมองไม่เห็นความว่างบนจอภาพยนตร์ ไม่ได้แปลว่าความว่างบนจอภาพยนตร์ไม่มี
ขณะบรรลุมรรคผลที่แสงแห่งปัญญาสาดสว่างเจิดจ้ากว่าพระอาทิตย์ เอาชนะแสงแห่งนิมิตอันฉายมาจากผลกรรมทั้งปวง คุณจะรู้จักความว่างคือนิพพานอันเป็นธรรมชาติสูงสุด ว่างและนิ่งโดยไม่เลื่อนไหลตามสภาวะแปรปรวนทั้งหลาย ไม่เป็นอันเดียวกับความแปรปรวนทั้งหลาย แต่ก็ซ้อนกันอยู่ในที่เดียวกับความแปรปรวนทั้งหลายนั่นเอง ความตั้งมั่นคงที่ถาวรนั่นแหละ จุดอ้างอิงที่ทำให้คุณเลิกเข้าใจผิดว่ามีเวลาเสียได้อย่างแท้จริง
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เวลา
สิ่งที่ดับไปก็ไม่ใช่เวลา
แต่เป็นรูปธรรมนามธรรม
ที่ดับแล้วเกิดเป็นอื่นเรื่อยไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
แต่หากเปลี่ยนมุมมองย้อนกลับเข้ามา ‘ระลึกรู้’ ถึงสภาพอันเป็นภายในตัวเอง กระทั่งเกิดมโนสำนึกแบบใหม่ที่แจ่มชัด โลกจะเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ หรือกลับหัวมาเป็นก้อยทันที กล่าวคือคุณจะรู้สึกชัดถึงภาวะทางกายที่ตั้งอยู่ในอิริยาบถปัจจุบันนี่แหละ และขณะเดียวกันก็ทราบว่ามีความเปลี่ยนแปลงภายในกายนี้ตลอดเวลา เช่นมีสายลมหายใจผ่านเข้า
ผ่านออก หยุดสงบครู่หนึ่ง แล้วผ่านเข้ามาอีก ผ่านออกไปอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นสายยาวบ้าง เป็นสายสั้นบ้าง
การเคลื่อนไหวทุกกระดิก ไม่ว่าจะเป็นเหลือบตา หันซ้ายหันขวา ขยับแขน ยกมือเกาหัว เปลี่ยนท่าให้สบายขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องแสดงความเปลี่ยนแปลงเป็นชุดๆ เป็นขณะๆอย่างสืบเนื่องไปจนกว่าคุณจะตาย
ความรับรู้เกี่ยวกับวัตถุนอกกายของคุณจะพลอยแตกต่างไปด้วย แม้คุณนั่งอยู่คนเดียวในห้องว่างที่ทุกด้านเป็นผนังเปล่า ผนังเหล่านั้นก็จะเป็น ‘ฉากประกอบ’ ที่มีความสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงในกายคุณ แม้ประสาทตาของคุณจะมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆของผนังห้อง แต่ใจคุณจะรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ผนังเดียวกันกับเมื่อครู่ ผนังห้องที่อยู่กับห้วงลมหายใจก่อนผ่านไปแล้ว สิ่งที่เหลือคือผนังห้องที่อยู่กับห้วงลมหายใจปัจจุบันเท่านั้น
เมื่อรับรู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวมีอันเป็นไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของคุณ คุณจะเริ่มสำเหนียกเพิ่มอีกชั้น ว่า ‘การรับรู้’ อย่างชัดเจนของคุณนั่นเอง คือสภาพธรรมชาติอันแตกต่างเป็นคนละส่วนกับร่างกายและสิ่งแวดล้อม ภาวะการรับรู้นั่นเองคือจิต แม้จิตก็เกิดขึ้นเป็นขณะๆตามอาการจ้องมอง ตามอาการเงี่ยหูฟัง และตามอาการครุ่นคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่ออาการมอง อาการฟัง และอาการคิดอ่านหนึ่งๆจบลงแล้ว จิตย่อมแปรเป็นสภาพรับรู้อย่างอื่นไปเรื่อยๆ ทว่าสืบเนื่องอย่างไม่ขาดสายเสียจนเหมือนเป็นจิตเดิมดวงเดียวกัน
เมื่อเฝ้าตามรู้ตามดูธรรมชาติอันปรากฏแสดงในขอบเขตกายใจไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่าต้นเหตุอย่างหนึ่งๆย่อมคลี่คลายไปสู่ผลลัพธ์อย่างหนึ่งๆ ไม่อาจเป็นไปได้ที่ผลจะเกิดขึ้นพร้อมกับเหตุ และยิ่งไม่อาจเป็นไปได้ที่ผลใดๆจะปรากฏก่อนการสลายตัวของเหตุ
ยกตัวอย่างเช่นไม่มีทางเป็นไปได้ที่คุณจะหายใจออกก่อนที่จะหายใจเข้า เหตุปัจจัยของการหายใจออกคือมีลมหายใจเข้า และร่างกายต้องการระบายลมนั้นออกจากอก ธรรมชาติมีลำดับ มีขั้นตอน มีเหตุผล มีต้นมีปลาย และธรรมชาติก็แสดงตัวอย่างเปิดเผยตลอดมา คุณแค่ไม่มีสติสัมปชัญญะรู้เห็นเท่านั้น
และในที่สุดเมื่อจิตคุณประจักษ์ความจริง ว่าไม่มีสิ่งใดไม่ดับสูญ ทุกสิ่งปรากฏแล้วล้วนแปรรูป เสื่อมสลายกลายเป็นอื่นเสมอ ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้เกาะเกี่ยวถือมั่น คุณจะมองทะลุความแปรปรวนไปเห็นความว่างอันเป็นต่างหากนิมิตทั้งหลายในโลก ความว่างนั้นมีอยู่ มิใช่ความสูญสิ้น เปรียบได้กับจอภาพยนตร์ที่รองรับแสงสีที่สาดมาจากเครื่องฉาย สายตาเราถูกล่อให้เล็งดูส่ำ
สีเคลื่อนไหวบนจอภาพยนตร์ จนมองไม่เห็นความว่างบนจอภาพยนตร์ ไม่ได้แปลว่าความว่างบนจอภาพยนตร์ไม่มี
ขณะบรรลุมรรคผลที่แสงแห่งปัญญาสาดสว่างเจิดจ้ากว่าพระอาทิตย์ เอาชนะแสงแห่งนิมิตอันฉายมาจากผลกรรมทั้งปวง คุณจะรู้จักความว่างคือนิพพานอันเป็นธรรมชาติสูงสุด ว่างและนิ่งโดยไม่เลื่อนไหลตามสภาวะแปรปรวนทั้งหลาย ไม่เป็นอันเดียวกับความแปรปรวนทั้งหลาย แต่ก็ซ้อนกันอยู่ในที่เดียวกับความแปรปรวนทั้งหลายนั่นเอง ความตั้งมั่นคงที่ถาวรนั่นแหละ จุดอ้างอิงที่ทำให้คุณเลิกเข้าใจผิดว่ามีเวลาเสียได้อย่างแท้จริง
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เวลา
สิ่งที่ดับไปก็ไม่ใช่เวลา
แต่เป็นรูปธรรมนามธรรม
ที่ดับแล้วเกิดเป็นอื่นเรื่อยไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
Re: มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามเวลาได้
อืม ใช้บาซูก้า ทศวรรษ ยังไง ล่า~
|2omantic- XanXus
- โำพสแล้ว : 127
เงิน ดาร์ค : 10097
คำขอบคุณ : 7
Join date : 26/06/2009
Re: มนุษย์เราสามารถเดินทางข้ามเวลาได้
ไทม์แมชชีนด้วยดิ 55//โดนเตะข้อหาไร้สาระ
alone- สมาชิกดาร์ก มืออาชีพ=Dark-Ko
- โำพสแล้ว : 98
เงิน ดาร์ค : 389
คำขอบคุณ : 0
Join date : 27/06/2009
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
Sun Feb 05, 2012 8:03 am by bossboss06
» [VCD master2011]Killer Elite 3 โหดโคตรพันธุ์ดุ พากษ์ไทย [Mediafire]
Wed Feb 01, 2012 1:03 pm by bossboss06
» [VCD master2011]Red State ขีดเส้นตายทะลักเดือด พากษ์ไทย [Mediafire]
Fri Jan 20, 2012 11:11 pm by bossboss06
» [VCD master2011]The Lazarus Papers คืนชีพแค้น คนอมตะ พากษ์ไทย [Mediafire]
Fri Jan 06, 2012 3:02 pm by bossboss06
» [VCD master2011]Hindenburg บอลลูนยักษ์ถล่มโลก พากษ์ไทย [Mediafire]
Wed Dec 28, 2011 11:16 pm by bossboss06
» [vcd master] Final Destination 5 โกงตายสุดขีด พากษ์ไทย[mediafire]
Tue Dec 27, 2011 10:03 am by bossboss06
» เเน่ะนำตัวกันเลยครับ.....
Mon Dec 26, 2011 6:21 pm by Flame
» [VCD master2011]Fright Night คืนนี้ผีมาตามนัด พากษ์ไทย [Mediafire]
Mon Dec 19, 2011 11:00 pm by bossboss06
» [VCD master2011]Mandrake อาถรรพ์ต้นไม้ปีศาจ พากษ์ไทย [Mediafire]
Sat Dec 03, 2011 8:18 pm by bossboss06